สิ้นพระนักพัฒนา “หลวงพ่อนาน” อดีตเจ้าอาวาสวัดดังเมืองสุรินทร์
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูพิพิธประชานาถ หรือ หลวงพ่อนาน สุทฺธสีโล อดีตเจ้าอาวาสวัดสามัคคี (วัดบ้านท่าสว่าง) บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ตำนานพระสงฆ์นักพัฒนา เครือข่ายพระกลุ่มสหธรรมเพื่อการพัฒนาและกลุ่มเสขิยธรรม วลีแห่งการตื่นรู้ “พระเป็นหนี้ชาวบ้าน” ผู้จุดประกายเกษตรอินทรีย์ วิถีสุรินทร์ ได้ละสังขาร ด้วยสิริอายุ 86 ปี 4 เดือน 8 วัน พรรษา 66 เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา เวลา 14.15 น. กำหนดพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ วันที่ 21 ก.ค. เวลา 17.00 น. ประกอบพิธีบรรจุศพ วันที่ 29 ก.ค. เวลา 15.30 น. ณ วัดสามัคคี บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์
หลวงพ่อนาน เกิดวันพฤหัสบดี แรม 6 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2472 เป็นบุตรของนายบัว สีชมพู กับนางจุม สีชมพู ที่บ้านเลขที่ 24 บ้านเตรี๊ยะใต้ ต.ตะพานลาว อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 8คน คือนายนาน-นายนอม-นายนาด-นายยศ-นายนุม-นางจอม-นายแปลก-และน.ส.จวบ สีชมพู
ชีวิตในวัยเด็กได้ช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ทำนา ทำการเกษตร มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปในชนบท ไม่เกเร ช่วยงานพ่อแม่จนกระทั้งโต เข้าเรียนเมื่ออายุได้ 9 ปี ในปีพ.ศ.2481ที่โรงเรียนประชาบาลวัดสามัคคี เรียนจบชั้น ป.4 ก็ออกมาช่วยงานทางบ้านจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในปีพ.ศ.2492 ที่วัดบ้านท่าสว่าง (ชื่อในขณะนั้น) ต.ท่าสว่าง มีหลวงพ่อวาง ธมปัญโญ เป็นเจ้าอาวาสเป็นผู้บวชให้ ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี โท เอก ปีพ.ศ.2492 2494 2495
มีบางช่วงชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ หลวงพ่อนาน ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานด้วยตนเองจากหนังสือ พิจารณาลมหายใจเข้าออก พิจารณาอดีต ทำให้เกิดความสับสน เพราะไม่มีอาจารย์แนะนำ ทำอย่างนี้ตลอดทั้งคืน ในที่สุดหลวงพ่อนานเกิดอาการนอนไม่หลับ จิตฟุ้งซ่าน หงุดหงิดคิดมาก จนคล้ายคนบ้า จึงหมกตัวอยู่ในวัดเพื่อรักษาตัว ผ่านไป 2 ปี อาการจึงดีขึ้น ในปีพ.ศ.2499 ได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดโคกสูง ต.ห้วยราช อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ อาการคล้ายคนบ้าจึงหายเป็นปลิดทิ้ง
ต้นปี 2501 ครูปาน ทิพยรัตน์ ซึ่งเป็นครูอาวุโสสอนที่โรงเรียนประชาบาลวัดสามัคคี ได้นำชาวบ้านท่าสว่าง 4-5 คน เดินทางไปนิมนต์หลวงพ่อนานจากวัดโคกสูง ให้มาจำพรรษาที่วัดสามัคคี จนกระทั่งวันที่ 30 กรกฎาคม 2502 หลวงพ่อนานได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามัคคี
จากนั้นมาหลวงพ่อนานเป็นผู้นำในการพัฒนาทั้งวัดและชุมชน ให้มีความเจริญรุ่งเรื่อง เปิดวัดเป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งทางโลกทางธรรม ท่านได้รับนิมนต์ไปศึกษาดูงานที่เกาหลี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศในแถบยุโรป แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาในด้านการเกษตรอินทรีย์ จนเป็นที่ระบือนามทั้งในมืองไทยและต่างประเทศ
หลวงพ่อนาน เป็นผู้จุดประกายแนวความคิดให้ เกษตรกร ชาวนาชาวไร่ เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้คิดวิธีทำลายวงจรหนี้สิน ให้ชาวบ้านลด ละ เลิก อบายมุข ผู้ริเริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ จัดตั้งโครงการสหบาลข้าว ประสบความสำเร็จก้าวหน้าตราบเท่าปัจจุบัน สร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านได้ตระหนักถึงการพึ่งพาตนเอง ต่อมาท่านได้ปรับประยุกต์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น มาใช้เป็นแกนนำในการระดมทุน เช่น บุญเทศน์มหาชาติ บุญเข้าพรรษา บุญทอดผ้าป่า เป็นต้น และได้จัดตั้งสหบาลคน เพื่อเป็นการรวมพลังชาวบ้านในการทำนากระชับมิตรที่ได้ผลดียิ่ง
หลวงพ่อนานเป็นพระที่มีปรัชญาในการบริหารงานบุคคลได้อย่างเยี่ยมยอด เป็นแกนนำชี้แนะแนวทาง โดยยึดหลักธรรมทางพุทธศาสนา มาประยุกต์กับแนวคิดที่เป็นภูมิปัญญาของท่าน จนประสบความสำเร็จ ทุกคนต่างขนานนามท่านว่าเป็นพระนักพัฒนาแห่งเมืองสุรินทร์ ยามท่านอาพาธ แม้จะเจ็บไข้ไม่สบาย สายตาท่านยิ้มให้ลูกศิษย์ลูกหาทุกคน ยิ้มในสายตามีทั้งความเมตตาอ่อนโยนแบบนี้ตลอดชีวิตที่ได้สัมผัส
หลวงพ่อนานอาจไม่โด่งดังด้านเวทย์มนต์คาถามหาเสน่ห์ เนรมิตรให้ใครรวยได้ แต่เป็นผู้บุกเบิกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นร้านค้าชุมชน ธนาคารข้าว เกษตรอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ ปุ๋ยอินทีรย์ หลวงพ่อนานเป็นผู้นำบุกเบิกโดยแท้ ท่านว่าอยากตอบแทนโยมที่ใส่บาตรให้เราฉันข้าวปลาอาหาร อยากขอบคุณไส้เดือน มดแมลงต่างๆที่จัดการธรรมชาติได้เอง โดยเราไม่ต้องใช้สารเคมี พระแม่ธรณีตาย สังคมมนุษย์ทั้งหลายก็วายวอด หลวงพ่อนานหาตลาดส่งข้าวอินทรีย์ไปยุโรป ปีละหลายพันตัน โดยไม่ผ่านคนกลาง ช่วยชื้อข้าวอินทรีย์แพงหน่อยนะคุณฝรั่ง ส่วนที่แพงคือความปลอดภัยทั้งผู้บริโภค รายได้ชาวนา และธรรมชาติไม่โดนเคมีฆ่า แม้วันนี้ท่านไม่อยู่แล้ว จึ่งอยากนำเรื่องราวของท่านมาเล่าสู่กันฟัง ระลึกถึงท่าน พูดถึงท่าน ทำอย่างที่ท่านสอน ในตอนที่ท่านยังอยู่ และให้มันติดอยู่ในจิตสำนึกที่ดีของเราตลอดไป
ที่มา ข่าวสด